Cloud Computing 15 บริษัทเทคโนโลยีที่มี Market Cap สูงสุดกลางปี 2019

Cloud Computing 15 บริษัทเทคโนโลยีที่มี Market cap สูงสุด yalecom cloud computing Cloud Computing 15 บริษัทเทคโนโลยีที่มี Market Cap สูงสุดกลางปี 2019 15                                                              Market cap                    yalecom 768x402

Cloud Computing คือ การที่เราใช้ซอฟต์แวร์ ระบบ และทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการผ่านอินเตอร์เน็ต โดยสามารถเลือกกำลังการประมวลผล เลือกจำนวนทรัพยากรได้ตามความต้องการในการใช้งาน โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลบน Cloud จากที่ไหนก็ได้

Cloud Computing เป็นบริการที่ได้รับความนิยมสูงมากในยุคนี้ เนื่องจากช่วยลดขั้นตอนยุ่งยากในการติดตั้ง ดูแลระบบทางออนไลน์ได้ทันที ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเอง ปัจจุบันยังรวมไปถึงการให้บริการระบบโทรศัพท์บน Cloud ที่ใช้หลักการเดียวกันนี้ด้วย

หากอยากรู้ว่าบริษัทที่ให้บริการระบบ Cloud Computing นั้นได้รับความนิยมเพียงใด ลองดูจากสถิติของ Statista ซึ่งได้จัดอันดับบริษัทที่มีรายได้ และ Market Cap สูงสุดช่วงกลางปี 2019 ที่ผ่านมา ผลสรุปพบว่า บริษัทที่มีรายได้สูงสุดในโลก ได้แก่ Microsoft รองลงมาคือ Amazon, Alphabet,  Apple และ Facebook ตามลำดับ

สิ่งที่น่าสังเกตคือ บริษัทที่ทำรายได้สูงสุดนั้น เป็นบริษัทที่ให้บริการระบบ Cloud Computing เพื่อรองรับความต้องการและการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่อย่างตอบโจทย์ เรามาดูกันว่า ทั้ง 15 บริษัทที่ติดอันดับในครั้งนี้ มีความน่าสนใจอย่างไร และเหตุใดจึงเป็นบริษัทที่มีรายได้สูงสุดต่อเนื่อง

  1. Microsoft

Microsoft บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ก่อตั้งโดยบิล เกตส์ และพอล อัลเลน Microsoft เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโปรแกรม ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ที่เห็นได้ชัดในช่วงวิกฤตโควิด-19 นี้ ได้มีการพัฒนาธุรกิจ Cloud หรือ Microsoft Azure ซึ่งเป็นการให้บริการบน Cloud Computing ที่มาถูกช่วงเวลา โดยเฉพาะเมื่อผู้คนต้อง Work from Home รายงานระบุว่า มีคนใช้บริการ Microsoft Team เพิ่มขึ้น 12 ล้านคนต่อวัน อีกทั้งรายได้จากธุรกิจ Cloud มีสัดส่วนสูงถึง 26% ของรายได้ทั้งหมด

  1. Amazon

บริษัท E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากจุดเริ่มต้นของร้านขายหนังสือออนไลน์ และมี e-Book ให้คนได้อ่านแบบออนไลน์ ต่อมา Amazon พัฒนาระบบ Cloud Computing ที่มีชื่อว่า Amazon Web Services จนถูกยกให้เป็นบริษัทที่มีการพัฒนาด้านนวัตกรรมมากที่สุดอันดับ 1 ของโลกในปี 2017 แซงหน้า Google และ Apple ไปอย่างขาดลอย ปัจจุบัน Amazon ได้กระจายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ E-Commerce และอินเตอร์เน็ต

  1. Apple

แบรนด์ยอดนิยมที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความทันสมัยและเป็นคนรุ่นใหม่ ปัจจุบัน Apple อยู่ภายใต้การบริหารโดย Tim Cook ซึ่งยังคงเน้นสินค้าพื้นฐานของ Apple โดยนำความเป็น Apple สอดแทรกเข้าไปในหลายอุปกรณ์ รวมทั้งเริ่มเข้าสู่บริการใหม่ๆ อย่างสตรีมมิ่ง และสินค้าแต่งกายอย่าง Apple Watch

  1. Alphabet

อีกหนึ่งบริษัทในเครือของ Google ซึ่งมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจจากตลาดซอฟต์แวร์ไปสู่ฮาร์ดแวร์ สิ่งที่ Alphabet แตกต่างไปจาก Google คือ เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแปลกใหม่ที่ Google ไม่ได้ทำ อาทิ Nest Labs  ทำฮาร์ดแวร์เชื่อมต่อเน็ต,ซื้อบริษัท Calio เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่เน้นเรื่องสุขภาพของคน Alphabet เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จสูงมากในด้านเทคโนโลยี มีรายได้เฉลี่ยไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 ที่ 38,160 ล้านเหรียญสหรัฐ

  1. Facebook

Facebook ต้องการที่จะครอบครองทุกช่องทางของการติดต่อสื่อสารบนโลกใบนี้ให้ได้ ปัจจุบันเป็นทั้งเจ้าของโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง ทั้งไอจี , WhatsApp, Messenger ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแพลตฟอร์มที่มีโมเดลในการหารายได้จากโฆษณาที่เป็น Social Media ทั้งสิ้น นั่นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมรายได้ 98.5% ของ Facebook จึงได้มาจากการโฆษณาบนช่องทางดังกล่าว

  1. Alibaba

หากฝั่งตะวันตก Amazon คือยักษ์ใหญ่ของธุรกิจ E-Commerce ฝั่งตะวันออกคงต้องยกให้กับ Alibaba ซึ่งเป็นPlatform ค้าปลีกอันยิ่งใหญ่ที่ก่อตั้งโดยแจ็ก หม่า จุดเด่นของ Alibaba คือเป็น Platform ตัวกลางที่เปิดให้คนซื้อขายกันเอง รายได้มาจากการคิดค่าโฆษณาและคอมมิชชั่นจากร้านค้า ปัจจุบัน Alibaba ยังแตกแขนงธุรกิจออกไปอีกมากมาย จนทำให้ไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2019 มีรายได้เพิ่มขึ้นมา 40% ส่วนกำไรพุ่งที่ 51%

  1. Tencent

Tencent ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 ผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทคือโปรแกรมแชต QQ ที่ได้รับความนิยมมากในจีน และปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของชาวจีนต้องยกให้กับ WeChat แอปแชตอันดับ 3 ของโลก ที่มีคนใช้ทุกวันถึง 768 ล้านคน Tencent จัดได้ว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในจีน โดยรายได้หลักมาจากเกมออนไลน์ อีกทั้ง Pony Ma ผู้ก่อตั้ง Tencent ยังได้รับการจัดอันดับจาก Forbes ว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 4 ของจีนอีกด้วย

  1. Netflix

จากร้านเช่าวีดิโอ สู่การเป็นผู้ให้บริการ Online Streaming ให้บริการดูหนัง ซีรี่ย์ และสารคดี ที่มีสมาชิกผู้ติดตามกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก Netflix มีแพ็คเกจให้เลือกที่แตกต่างกันตามคุณภาพของไฟล์ เลือกการรับชมได้ทั้งทีวี คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต อีกทั้งยังผลิต Content ของตัวเองกว่า 400 เรื่อง มีซับไตเติ้ลกว่า 20 ภาษา รายได้รวมทั้งหมดของ Netflix ตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ย. 2019 เท่ากับ 14 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ข้อมูล : Netflix)

  1. Adobe

Adobe ก่อตั้งในปี 1982 โปรแกรมแรกที่ Adobe ซื้อแล้วประสบความสำเร็จสูงสุดคือ Image Pro ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Photoshop ในช่วงแรก Adobe ให้ใช้โปรแกรมเฉพาะบน Apple Computer เท่านั้น ภายหลังจึงมีเวอร์ชั่น Window ออกมา ปัจจุบัน Adobe มีโปรแกรมที่ใช้สำหรับงานกราฟฟิกทุกรูปแบบ รายได้หลักมาจากการขายลิขสิทธิ์โปรแกรมแบบรายเดือนและรายปี ซึ่งช่วยแก้ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ และทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นหลายเท่าตัว

  1. Paypal

Paypal เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทขายของออนไลน์ eBay เป็นระบบธุรกิจที่ทำให้สามารถจ่ายเงินและโอนเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ eBay ขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม Paypal ยังถือเป็นต้นแบบของการชำระเงินออนไลน์และทำให้เกิดแบรนด์ชำระเงินใหม่ๆ ในเวลาต่อมา ส่วนผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2019 มีรายได้เพิ่มขึ้น 17% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 507 ล้านดอลล่าร์

  1. Salesforce

Salesforce เป็นแพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) อันดับ 1 ของโลก ถือเป็นบริษัทอันดับแรกๆ ที่เน้นการพัฒนาธุรกิจบน Cloud ซึ่งกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ที่ใช้เป็นกลุ่ม Business ที่มีขนาดองค์กรใหญ่ Salesforce จัดว่าเป็นผู้ช่วยที่ทำให้บริษัทลดขั้นตอนการติดตั้ง ทั้งเซิร์ฟเวอร์ฮาร์ดแวร์หรือโปรแกรมต่างๆ ทำให้การทำงานโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับงานขาย สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

  1. Booking.com

เว็บไซต์ที่ให้บริการจองห้องพักทั่วโลกกว่า 21 ล้านห้องพักใน 224 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นห้องพักในโรงแรม รีสอร์ท บ้านตากอากาศ อพาร์ทเมนต์ วิลล่า เรือ ฯลฯ Booking.com อยู่ภายใต้บริษัท Booking Holdings ซึ่งปัจจุบัน ถือเป็นช่องทางในการจองที่พักที่มีผู้ใช้บริการสูงสุดและทำรายได้สูงสุดจากเว็บไซต์จองห้องพักอื่นๆ อีกด้วย

  1. Uber

แอปพลิเคชันที่ใช้เรียกแท็กซี่ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2009 โดยสองนักธุรกิจ Travis Kalanick และ Garrett Camp ที่ไปงานประชุมในเมืองปารีส แต่กลับไม่สามารถเรียกรถแท็กซี่กลับที่พักได้ จึงสร้าง Uber ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวเสียเลย โดย Uber ถือเป็นตัวอย่างของ Startup ยุคแรกๆ ที่จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นได้สำเร็จในปี 2019 แม้ว่าปัจจุบันจะคู่แข่งเกิดขึ้นมากมาย แต่ในแง่ของการลงทุนนั้น ว่ากันว่า Uber จะยังสามารถทำกำไรได้อีกยาวไกล

  1. Recruit Holdings

เป็นบริษัทด้านทรัพยากรบุคคลสัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นในปี 1960 ปัจจุบันเป็นเครื่องมือค้นหางานที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีสำนักงานย่อยในหลายประเทศ รวมทั้งในเมืองไทยด้วย Recruit Holdings มียอดขายเกิน 17 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2016 และยอดขายในต่างประเทศคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด

  1. ServiceNow

บริษัท ซอฟต์แวร์สัญชาติอเมริกัน ผู้ให้บริการระบบ Cloud Computing ที่มีความน่าเชื่อถือและมีความปลอดภัยสูง กลุ่มเป้าหมายผู้ใช้ ServiceNow คือองค์กรขนาดใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี และต้องการพัฒนาการดำเนินงานภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและทำงานได้อย่างคล่องตัว